top of page
Blue Modern Medical Service LinkedIn Article Cover Image-6.png

        โบท็อกเป็นหนึ่งในทรีตเมนต์ความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติในการลดเลือนริ้วรอยและช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น โบท็อกจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ โดยโบท็อกคือสารโบทูลินัมท็อกซินที่ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์และความงาม ด้วยการฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ต้องการ ส่งผลให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ โบท็อกยังมีประโยชน์ในการรักษาอาการทางการแพทย์บางอย่าง เช่น อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เป็นต้น

โบท็อก (Botox) คืออะไร ?
 

         โบท็อก (Botox) คือชื่อทางการค้าของสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากแบคทีเรียClostridium botulinum โบท็อกทำงานโดยการยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและไม่สามารถหดตัวได้ชั่วคราว ในทางการแพทย์ใช้รักษาริ้วรอยบนใบหน้า บรรเทาอาการกล้ามเนื้อเกร็ง รักษาอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ บรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน รักษาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นต้น โดยมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ของโบท็อกทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้และบริเวณที่ฉีด

หลักการทำงานของโบท็อก ออกฤทธิ์อย่างไร?

          เมื่อโบท็อกซ์ถูกฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อเป้าหมายโดยตรง ตัวยาจะแพร่กระจายไปยังปลายประสาทบริเวณที่ติดต่อกับกล้ามเนื้อเพื่อยับยั้งสารสื่อประสาทโดยขัดขวางการปล่อยอะเซทิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ เมื่อไม่มีอะเซทิลโคลีน สัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อถูกตัดขาด กล้ามเนื้อจะไม่สามารถหดตัวได้ตามปกติ จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวและอ่อนแรงลง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ริ้วรอยบนผิวหนังลดลงเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่หดตัวและกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวคลายลง โดยผลของโบท็อกซ์จะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณและบริเวณที่ฉีด และเมื่อฤทธิ์ของโบท็อกซ์หมดลง ร่างกายจะสร้างจุดเชื่อมต่อประสาทกล้ามเนื้อใหม่ ทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ตามปกติ

 โบท็อกเหมาะกับใครบ้าง ?

Blue Modern Medical Service LinkedIn Article Cover Image-8.png

โบท็อกเหมาะสำหรับหลายกลุ่มคน ทั้งในแง่ความงามและการรักษาทางการแพทย์ 

1. ด้านความงาม

  • ผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะรอยย่นระหว่างคิ้ว รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา และรอยย่นที่หน้าผาก

  • ผู้ที่ต้องการป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย (อายุประมาณ 25-30 ปีขึ้นไป)

  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น เช่น ลดขนาดกราม เป็นต้น

  • ลดการหลังเหงื่อที่มากผิดปกติ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า

 

2. ด้านการแพทย์

  • ผู้ที่มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เช่น คอเอียง ตาเหล่

  • ผู้ที่มีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)

  • ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง

  • ผู้ที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่

  • ผู้ที่มีอาการกัดฟันตอนนอน

บริเวณที่นิยมฉีดโบท็อก

  • ลดรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าฝาก

  • ลดรอยย่นตรงกลางระหว่างคิ้ว

  • ลดรอยตีนกา

  • ลดรอยย่นบริเวณสันจมูก

  • ลดรอยย่นเหนือริมฝีปาก

  • ลดรอยเหี่ยวย่นบริเวณคาง

  • ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น

  • ลดรอยย่นแนวนอนบริเวณลำคอ

  • รักษาอาการเหงื่อออกมากเกินไปบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า

  • บรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน

  • กล้ามเนื้อแมสเซเตอร์ เพื่อลดอาการกัดฟัน และปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น

โบท็อกกี่วันถึงเห็นผล ?

        การเห็นผลหลังจากฉีดโบท็อกซ์มีระยะเวลาที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเริ่มเห็นผลภายใน 5-7 วันหลังการฉีด โบท็อกริ้วรอยผลลัพธิ์จะชัดเจนประมาณ 7-14 วันหลังการฉีด โบท็อกกรามจะเห็นผลชัดเจนที่ 1-2 เดือนเป็นต้นไป ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการออกฤทธิ์ได้แก่ ปริมาณโบท็อกซ์ที่ใช้ บริเวณที่ฉีด สภาพผิวและกล้ามเนื้อของแต่ละบุคคล การตอบสนองของร่างกายต่อโบท็อกซ์ เป็นต้น

หลังฉีดโบท็อกอยู่ได้นานไหม ?

        หลังฉีดโบท็อกอยู่ได้นาน 4-6 เดือน เพื่อคงสภาพผลลัพธ์หลังฉีด ควรมาเติมโบท็อกเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ให้คงอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ควรฉีดถี่จนเกินไปเพราะจะทำให้ดื้อโบท็อก และไม่ควรเว้นช่วงการฉีดนานเกินไป เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อคืนสภาพ ทำให้การฉีดรอบต่อไปต้องใช้จำนวนโบท็อกที่มากขึ้นนั่นเอง

Blue Modern Medical Service LinkedIn Article Cover Image-7.png

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี ?

       การเลือกสถานที่ฉีดโบท็อกที่ดีและเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ควรคำนึงถึงสถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง คลินิกเฉพาะทางด้านผิวหนังและความงามที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่งประจำ

สิ่งที่ควรพิจารณาร่วมด้วยคือ

  • ใบอนุญาตและการรับรองของสถานพยาบาล

  • ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์

  • ความสะอาดและมาตรฐานของสถานที่

  • ความโปร่งใสในการให้ข้อมูลและค่าใช้จ่าย

ข้อควรระวัง:

  • หลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกในสถานที่ที่ไม่ใช่สถานพยาบาล เช่น ร้านเสริมสวย หรือสปา

  • ระวังโปรโมชั่นราคาถูกผิดปกติ ซึ่งอาจไม่ได้มาตรฐาน

Blue Modern Medical Service LinkedIn Article Cover Image-9.png

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดโบท็อก

ข้อควรปฏิบัติก่อนการฉีดโบท็อก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้:

1. ปรึกษาแพทย์ แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว แจ้งยาที่ใช้ประจำ รวมถึงอาหารเสริมและสมุนไพร

2. งดยาและอาหารเสริมบางชนิด 1-2  สัปดาห์ เช่น

  • ยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน

  • วิตามินอี และน้ำมันปลา

  • สมุนไพรที่มีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด เช่น กระเทียม ขิง โสม

3. งดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด

4. ทำความสะอาดผิวหน้า ล้างหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้ามาในวันฉีด

5. ถ่ายรูปก่อนทำการรักษาเพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการรักษา

6. แจ้งแผลหากทีแผลเปิด หรือแผลที่ติดเชื้อบริเวณอื่น

7. พักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันที่เข้ารับบริการ

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบท็อก

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกมีดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 4 ชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อป้องกันการกระจายตัวของยา

2. ไม่ควรนอนราบหรือก้มหน้า ประมาณ 4 ชั่วโมงหลังฉีด 

3. งดออกกำลังกายหนักๆ 24-48 ชั่วโมงหลังฉีด

4. งดการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังการฉีด

5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน เช่น อาบน้ำร้อน ซาวน่า หรืออบไอน้ำ ประมาณ 2 สัปดาดาห์แรก 

6. สามารถใช้ความเย็นประคบ ถ้ามีอาการบวมหรือช้ำ ให้ใช้ถุงน้ำแข็งประคบเบาๆ

7. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก

8. ทาครีมกันแดด เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดดโดยใช้ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป

9. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเพื่อช่วยในการขับสารพิษและลดอาการบวม

10. สังเกตอาการที่ผิดปกติ หากมีอาการแพ้หรือผิดปกติใดๆ ให้แจ้งแพทย์ทันที

11. ทานยาตามที่แพทย์สั่ง หากมีการสั่งยาแก้ปวดหรือยาอื่นๆ

12. นอนหลับให้เพียงพอ

13. งดการทำทรีตเม้นต์บริเวณใบหน้า เช่น เลเซอร์ หรือการขัดผิว อย่างน้อย 2 สัปดาห์

14. ไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลและปรับแต่งเพิ่มเติมหากจำเป็น

ผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อก

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:

1. รอยช้ำ หรือมีอาการบวมบริเวณที่ฉีด มักหายได้ภายใน 1-2 วัน

2. ปวดหรือเเสบร้อนเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด มักหายภายในไม่กี่ชั่วโมง

3. ปวดศีรษะอาจเกิดขึ้นในวันแรกหลังฉีด

4. คันบริเวณที่ฉีดมักเกิดขึ้นชั่วคราว

 

ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่ควรระวัง:

1. หนังตาตก เกิดจากการฉีดผิดตำแหน่งหรือการกระจายตัวของยา

2. อาการคล้ายไข้หวัด อาจเกิดขึ้นในบางราย แต่ไม่รุนแรง

3. กล้ามเนื้ออ่อนเเรงบริเวณใกล้เคียง เช่น กล้ามเนื้อรอบปาก หากฉีดบริเวณริมฝีปาก

4. ใบหน้าไม่สมมาตร เกิดจากการฉีดไม่สม่ำเสมอ

5. ปวดเมื่อยบริเวณคออาจเกิดขึ้นหากฉีดบริเวณคอ

 

ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมากแต่รุนแรง:

1.  อาการแพ้รุนแรง(anaphylaxis) มีอาการหายใจลำบาก บวมที่ใบหน้าหรือคอ

2. ปัญหาการกลืนหรือการหายใจ หากโบท็อกกระจายไปยังกล้ามเนื้อคอหรือลำคอ

3. การติดเชื้อ พบได้น้อยมาก มักเกิดจากการฉีดที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

 

        หากพบอาการผิดปกติรุนแรงหรือกังวล ควรปรึกษาแพทย์ทันที การฉีดโบท็อกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้มาก

ผลลัพธ์จากการรักษาด้วยโปรแกรมโบท็อก

bottom of page