top of page
3486EB9EF584E0BC8AF0AB8680BFB0E4B60B567D.jpeg

การรักษาแผลเป็นแผลคีลอยด์

แผลเป็นคีลอยด์ Keloid คืออะไร

แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) หมายถึงแผลเป็นที่เกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อเกินที่บริเวณรอยแผลเดิม ทำให้เนื้อเยื่อนั้นนูนและกว้างกว่ารอยแผลตั้งต้น

คีลอยด์มักเกิดขึ้นหลังจากการบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การผ่าตัด รอยแผลเป็น หรือแมลงกัดต่อย เนื่องจากเซลล์ผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อพังผืดมากเกินไป

โดยไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของคอลลาเจนได้อย่างเหมาะสม

ลักษณะของคีลอยด์คือเป็นก้อนเนื้องอกสีชมพูหรือสีน้ำตาลแดง

ผิวหนังค่อนข้างแข็งและนูนขึ้นจากผิวหนังปกติ บางครั้งอาจมีอาการคันหรือปวดร้าวได้ ขนาดและรูปร่างของคีลอยด์ก็แตกต่างกันไปคีลอยด์ไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็นการตอบสนองผิดปกติของร่างกายต่อการบาดเจ็บของผิวหนัง มักพบบ่อยในคนผิวสีเข้ม

📌สาเหตุของการเกิดคีลอยด์

6E1448F064692BEACF9BC3C9F215924946E80C38.jpeg

คีลอยด์เป็นตำแหน่งไหนได้บ้าง ?

คีลอยด์ (Keloid) สามารถเกิดได้ที่บริเวณต่างๆ ของร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เคยมีการบาดเจ็บหรือรอยแผลของผิวหนังมาก่อน โดยตำแหน่งที่พบคีลอยด์บ่อยมีดังนี้

1. หน้าอก คอ และไหล่เนื่องจากเป็นบริเวณที่เกิดรอยแผลจากสิวอุดตัน หรือแผลจากอุบัติเหตุง่าย

2. หลัง เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ติดแผลไหม้หรือถลอกจากการทำงานหรือออกกำลังกาย

3. หู เนื่องจากการเจาะหูเพื่อใส่ต่างหูส่งผลให้เกิดแผลและอาจนำไปสู่คีลอยด์ได้

4. แขนและขา เป็นบริเวณที่พบคีลอยด์ได้บ่อย เนื่องจากเป็นบริเวณที่เกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดง่าย

5. ท้อง มดลูก อวัยวะเพศ อาจพบคีลอยด์หลังการผ่าตัดคลอดบุตรหรือการผ่าตัดเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์

6. ใบหน้าและลำคอ อาจเกิดคีลอยด์หลังการบาดเจ็บ รอยไหม้ รอยสิว หรือแผลผ่าตัดบนใบหน้า

คีลอยด์อันตรายไหม ?

คีลอยด์ (Keloid) โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดปัญหาและความรำคาญได้ดังนี้

1. ปัญหาทางสุนทรียภาพ เนื่องจากคีลอยด์เป็นก้อนเนื้อนูนที่ผิวหนัง อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอก

2. อาการคัน ปวด หรือระคายเคืองบริเวณคีลอยด์ เนื่องจากการอักเสบและการยึดติดของเส้นประสาทใกล้เคียง

3. การเคลื่อนไหวลำบาก หากคีลอยด์เกิดขึ้นบริเวณข้อต่อหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อยๆ อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวได้

4. อุปสรรคต่อการสวมใส่เสื้อผ้า หากคีลอยด์อยู่บริเวณที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้า

5. ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากคีลอยด์อาจมีรอยแตกทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

6. ความเจ็บปวดทางจิตใจ จากความวิตกกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก

วิธีการรักษาคีลอยด์มีอะไรบ้าง? มีหลายวิธีในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) ทั้งวิธีการที่ไม่ผ่าตัดและวิธีการผ่าตัดดังนี้

วิธีการรักษาที่ไม่ผ่าตัด

1. ฉีดสเตียรอยด์ เป็นการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในก้อนคีลอยด์ เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพังผืด

2. พันแผลด้วยผ้ากดทับ เพื่อควบคุมการขยายตัวของคีลอยด์และลดการอักเสบ

3. รังสีรักษา เพื่อยับยั้งการเจริญของเซลล์ผิดปกติ มักใช้หลังการผ่าตัดเพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

4. การรักษาด้วยไครโอเทอราปี เป็นการใช้ความเย็นจัดทำลายเนื้อเยื่อส่วนเกิน

5. ใช้ยาละลายก้อนเลเซอร์ เป็นการใช้แสงเลเซอร์ทำให้เกิดกระบวนการรักษาแผลเป็นและเรียงตัวคอลลาเจนขึ้นมาใหม่

วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด

1. ผ่าตัดกรีดออก เป็นการผ่าตัดตัดก้อนคีลอยด์ออกทั้งหมด

2. การเปลี่ยนหนังผิว เป็นการผ่าตัดตัดก้อนคีลอยด์ออกและนำหนังผิวจากบริเวณอื่นมาปิด

3. การปลูกถ่ายหนังผิว เป็นการเพาะเซลล์ผิวหนังและนำมาปลูกถ่ายแทนบริเวณที่เป็นคีลอยด์

การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาด ตำแหน่ง และความรุนแรงของคีลอยด์ รวมถึงอายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย

โดยการผ่าตัดนิยมใช้กับคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่และก่อความรำคาญมาก

รักษาแผลคีลอยด์ด้วยตัวเองได้ไหม ?

การบำบัดรักษาแผลคีลอยด์ในระยะเริ่มแรกด้วยตนเองนั้นเป็นไปได้ หากยังเป็นเพียงแค่ก้อนนูนขนาดเล็ก เนื่องจากในช่วงนี้แผลยังสามารถตอบสนองต่อการรักษาได้ดี อาจลองใช้แผ่นหรือเจลประกอบด้วยซิลิโคน แปะปิดบริเวณแผลโดยตรงเพื่อยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง โดยควรสวมใส่แผ่นซิลิโคนติดต่อกันให้ได้นานอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน และสามารถถอดออกขณะอาบน้ำได้

 

สำหรับยี่ห้อของแผ่นซิลิโคนสำหรับปิดแผลคีลอยด์นั้น มีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ทั้งขนาดและราคาต่างๆ กันซึ่งจำหน่ายอยู่ตามร้านขายยาและเวชภัณฑ์ชั้นนำทั่วไป

 

หากแผลคีลอยด์มีขนาดใหญ่หรือนูนขึ้นมากแล้ว การปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธียังคงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากวิธีการบำบัดรักษาด้วยตนเองเป็นเพียงการบรรเทาเบื้องต้นเท่านั้น

วิธีปฏิบัติตัวไม่ให้เกิดคีลอยด์🔍

การป้องกันไม่ให้เกิดแผลคีลอยด์ (Keloid) นั้นมีหลายวิธีดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การถูกของมีคม การผ่าตัด หรือการเจาะรูผิวหนังเนื่องจากคีลอยด์มักเกิดจากรอยแผลที่ผิวหนัง

2. รักษาแผลให้หายเร็ว หากต้องมีการบาดเจ็บผิวหนัง ควรรักษาแผลให้หายอย่างรวดเร็ว ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด

3. ใช้ผ้ากดทับหรือแผ่นซิลิโคนบริเวณแผล ในระหว่างที่แผลกำลังหาย เพื่อป้องกันการเกิดคีลอยด์

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีหรือสารกัดกร่อน ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง

5. หากมีประวัติเสี่ยงสูง เช่น เคยเป็นคีลอยด์มาก่อน หรือมีคนในครอบครัวเป็นคีลอยด์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกันเฉพาะราย

หลังจากที่ได้ทราบถึงวิธีการรักษาคีลอยด์แล้ว วันนี้ทาง PERSONA CLINIC

ได้รวบรวม FAQ คำถามและคำตอบที่พบบ่อยในการรักษาแผลเป็น Keloid

มาไว้ให้แล้วค่ะ~~

1. การรักษา Keloid โดยการฉีดแต่ละครั้งใช้เวลาในการฉีดกี่ครั้ง

การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยวิธีการฉีดสเตียรอยด์นั้น โดยทั่วไปจะต้องฉีดหลายครั้งตามความจำเป็น ไม่ได้ฉีดเพียงครั้งเดียว โดยมีรายละเอียดดังนี้

- การฉีดแต่ละครั้งจะฉีดประมาณ 4-6 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ยาสเตียรอยด์ได้ออกฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งการเจริญของเนื้อเยื่อคีลอยด์

- โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องฉีดประมาณ 4-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลว่าคีลอยด์เริ่มลดลงหรือยุบตัว การฉีดจะดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งแพทย์พิจารณาว่าสามารถหยุดได้

- ในกรณีที่คีลอยด์มีขนาดใหญ่หรือเป็นมานาน อาจต้องใช้การฉีดมากกว่า 6 ครั้ง หรือสลับกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น พันผ้ากดทับ ประคบเย็นร่วมด้วย

- ระยะห่างของการฉีดแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแผลคีลอยด์ และความเห็นของแพทย์ผู้รักษา

2.การผ่าตัดรักษา Keloid สามารถหายขาดได้หรือไม่

การผ่าตัดเพื่อรักษาแผลคีลอยด์ (Keloid) นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะหายขาดอย่างถาวร

แต่เป็นการลดขนาดหรือกำจัดก้อนคีลอยด์ออกไปในขณะนั้น เนื่องจากคีลอยด์มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายหลังการผ่าตัดดังนี้

 

- การกลับเป็นซ้ำ หลังผ่าตัดคีลอยด์ออกแล้ว มีโอกาสสูงที่คีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำบริเวณแผลผ่าตัดนั้นได้ โดยมีอัตราการกลับเป็นซ้ำประมาณ 50-100%

 

- การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ แพทย์มักใช้วิธีการเสริม เช่น ฉายรังสี ฉีดสเตียรอยด์

หรือติดตั้งพลาสเตอร์หรือแผ่นพิเศษกดทับหลังผ่าตัด เพื่อลดโอกาสการเกิดคีลอยด์

ขึ้นมาใหม่

3.หลังจากการรักษา Keloid หายแล้ว สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่

แม้จะได้รับการรักษาแผลคีลอยด์จนหายแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่คีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการกลับเป็นซ้ำดังนี้

 

- พันธุกรรม สำหรับบางคนที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเกิดคีลอยด์ได้ง่าย แม้รักษาจนหายก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้สูง

 

- การบาดเจ็บรอยแผลบริเวณเดิม หากมีการบาดเจ็บหรือเกิดแผลใหม่ที่บริเวณรอยคีลอยด์เดิม ก็เสี่ยงที่จะเกิดคีลอยด์ขึ้นมาใหม่ได้

 

- การรักษาที่ไม่สมบูรณ์ หากการรักษามิได้กำจัดคีลอยด์อย่างหมดจด เซลล์ที่เหลืออยู่อาจเจริญเติบโตกลายเป็นคีลอยด์ขึ้นมาใหม่ได้

 

- ระยะเวลาติดตามหลังรักษา หากติดตามผลหลังการรักษาไม่นาน อาจทำให้พลาดช่วงการเริ่มเป็นซ้ำได้

 

- ปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ การใช้ยาบางชนิด หรือการขาดการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นแม้รักษาหายแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ติดตามผลเป็นระยะอย่างน้อย 1 ปี

พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บรอยเดิม ควบคุมปัจจัยเสี่ยง

เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของคีลอยด์ให้ได้มากที่สุด

bottom of page