การรักษาแผลเป็นแผลคีลอยด์
แผลเป็นคีลอยด์ Keloid คืออะไร
แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) หมายถึงแผลเป็นที่เกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อเกินที่บริเวณรอยแผลเดิม ทำให้เนื้อเยื่อนั้นนูนและกว้างกว่ารอยแผลตั้งต้น
คีลอยด์มักเกิดขึ้นหลังจากการบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การผ่าตัด รอยแผลเป็น หรือแมลงกัดต่อย เนื่องจากเซลล์ผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อพังผืดมากเกินไป
โดยไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของคอลลาเจนได้อย่างเหมาะสม
ลักษณะของคีลอยด์คือเป็นก้อนเนื้องอกสีชมพูหรือสีน้ำตาลแดง
ผิวหนังค่อนข้างแข็งและนูนขึ้นจากผิวหนังปกติ บางครั้งอาจมีอาการคันหรือปวดร้าวได้ ขนาดและรูปร่างของคีลอยด์ก็แตกต่างกันไปคีลอยด์ไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็นการตอบสนองผิดปกติของร่างกายต่อการบาดเจ็บของผิวหนัง มักพบบ่อยในคนผิวสีเข้ม
📌สาเหตุของการเกิดคีลอยด์
คีลอยด์เป็นตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
คีลอยด์ (Keloid) สามารถเกิดได้ที่บริเวณต่างๆ ของร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เคยมีการบาดเจ็บหรือรอยแผลของผิวหนังมาก่อน โดยตำแหน่งที่พบคีลอยด์บ่อยมีดังนี้
1. หน้าอก คอ และไหล่เนื่องจากเป็นบริเวณที่เกิดรอยแผลจากสิวอุดตัน หรือแผลจากอุบัติเหตุง่าย
2. หลัง เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ติดแผลไหม้หรือถลอกจากการทำงานหรือออกกำลังกาย
3. หู เนื่องจากการเจาะหูเพื่อใส่ต่างหูส่งผลให้เกิดแผลและอาจนำไปสู่คีลอยด์ได้
4. แขนและขา เป็นบริเวณที่พบคีลอยด์ได้บ่อย เนื่องจากเป็นบริเวณที่เกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดง่าย
5. ท้อง มดลูก อวัยวะเพศ อาจพบคีลอยด์หลังการผ่าตัดคลอดบุตรหรือการผ่าตัดเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์
6. ใบหน้าและลำคอ อาจเกิดคีลอยด์หลังการบาดเจ็บ รอยไหม้ รอยสิว หรือแผลผ่าตัดบนใบหน้า
คีลอยด์อันตรายไหม ?
คีลอยด์ (Keloid) โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดปัญหาและความรำคาญได้ดังนี้
1. ปัญหาทางสุนทรียภาพ เนื่องจากคีลอยด์เป็นก้อนเนื้อนูนที่ผิวหนัง อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอก
2. อาการคัน ปวด หรือระคายเคืองบริเวณคีลอยด์ เนื่องจากการอักเสบและการยึดติดของเส้นประสาทใกล้เคียง
3. การเคลื่อนไหวลำบาก หากคีลอยด์เกิดขึ้นบริเวณข้อต่อหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อยๆ อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวได้
4. อุปสรรคต่อการสวมใส่เสื้อผ้า หากคีลอยด์อยู่บริเวณที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้า
5. ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากคีลอยด์อาจมีรอยแตกทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
6. ความเจ็บปวดทางจิตใจ จากความวิตกกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก
วิธีการรักษาคีลอยด์มีอะไรบ้าง? มีหลายวิธีในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) ทั้งวิธีการที่ไม่ผ่าตัดและวิธีการผ่าตัดดังนี้
วิธีการรักษาที่ไม่ผ่าตัด
1. ฉีดสเตียรอยด์ เป็นการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในก้อนคีลอยด์ เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพังผืด
2. พันแผลด้วยผ้ากดทับ เพื่อควบคุมการขยายตัวของคีลอยด์และลดการอักเสบ
3. รังสีรักษา เพื่อยับยั้งการเจริญของเซลล์ผิดปกติ มักใช้หลังการผ่าตัดเพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
4. การรักษาด้วยไครโอเทอราปี เป็นการใช้ความเย็นจัดทำลายเนื้อเยื่อส่วนเกิน
5. ใช้ยาละลายก้อนเลเซอร์ เป็นการใช้แสงเลเซอร์ทำให้เกิดกระบวนการรักษาแผลเป็นและเรียงตัวคอลลาเจนขึ้นมาใหม่
วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัด
1. ผ่าตัดกรีดออก เป็นการผ่าตัดตัดก้อนคีลอยด์ออกทั้งหมด
2. การเปลี่ยนหนังผิว เป็นการผ่าตัดตัดก้อนคีลอยด์ออกและนำหนังผิวจากบริเวณอื่นมาปิด
3. การปลูกถ่ายหนังผิว เป็นการเพาะเซลล์ผิวหนังและนำมาปลูกถ่ายแทนบริเวณที่เป็นคีลอยด์
การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาด ตำแหน่ง และความรุนแรงของคีลอยด์ รวมถึงอายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย
โดยการผ่าตัดนิยมใช้กับคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่และก่อความรำคาญมาก
รักษาแผลคีลอยด์ด้วยตัวเองได้ไหม ?
การบำบัดรักษาแผลคีลอยด์ในระยะเริ่มแรกด้วยตนเองนั้นเป็นไปได้ หากยังเป็นเพียงแค่ก้อนนูนขนาดเล็ก เนื่องจากในช่วงนี้แผลยังสามารถตอบสนองต่อการรักษาได้ดี อาจลองใช้แผ่นหรือเจลประกอบด้วยซิลิโคน แปะปิดบริเวณแผลโดยตรงเพื่อยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง โดยควรสวมใส่แผ่นซิลิโคนติดต่อกันให้ได้นานอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน และสามารถถอดออกขณะอาบน้ำได้
สำหรับยี่ห้อของแผ่นซิลิโคนสำหรับปิดแผลคีลอยด์นั้น มีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ทั้งขนาดและราคาต่างๆ กันซึ่งจำหน่ายอยู่ตามร้านขายยาและเวชภัณฑ์ชั้นนำทั่วไป
หากแผลคีลอยด์มีขนาดใหญ่หรือนูนขึ้นมากแล้ว การปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธียังคงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากวิธีการบำบัดรักษาด้วยตนเองเป็นเพียงการบรรเทาเบื้องต้นเท่านั้น
วิธีปฏิบัติตัวไม่ให้เกิดคีลอยด์🔍
การป้องกันไม่ให้เกิดแผลคีลอยด์ (Keloid) นั้นมีหลายวิธีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การถูกของมีคม การผ่าตัด หรือการเจาะรูผิวหนังเนื่องจากคีลอยด์มักเกิดจากรอยแผลที่ผิวหนัง
2. รักษาแผลให้หายเร็ว หากต้องมีการบาดเจ็บผิวหนัง ควรรักษาแผลให้หายอย่างรวดเร็ว ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด
3. ใช้ผ้ากดทับหรือแผ่นซิลิโคนบริเวณแผล ในระหว่างที่แผลกำลังหาย เพื่อป้องกันการเกิดคีลอยด์
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีหรือสารกัดกร่อน ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง
5. หากมีประวัติเสี่ยงสูง เช่น เคยเป็นคีลอยด์มาก่อน หรือมีคนในครอบครัวเป็นคีลอยด์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกันเฉพาะราย
หลังจากที่ได้ทราบถึงวิธีการรักษาคีลอยด์แล้ว วันนี้ทาง PERSONA CLINIC
ได้รวบรวม FAQ คำถามและคำตอบที่พบบ่อยในการรักษาแผลเป็น Keloid
มาไว้ให้แล้วค่ะ~~
1. การรักษา Keloid โดยการฉีดแต่ละครั้งใช้เวลาในการฉีดกี่ครั้ง
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยวิธีการฉีดสเตียรอยด์นั้น โดยทั่วไปจะต้องฉีดหลายครั้งตามความจำเป็น ไม่ได้ฉีดเพียงครั้งเดียว โดยมีรายละเอียดดังนี้
- การฉีดแต่ละครั้งจะฉีดประมาณ 4-6 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ยาสเตียรอยด์ได้ออกฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งการเจริญของเนื้อเยื่อคีลอยด์
- โดยเฉลี่ยแล้วจะต้องฉีดประมาณ 4-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลว่าคีลอยด์เริ่มลดลงหรือยุบตัว การฉีดจะดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งแพทย์พิจารณาว่าสามารถหยุดได้
- ในกรณีที่คีลอยด์มีขนาดใหญ่หรือเป็นมานาน อาจต้องใช้การฉีดมากกว่า 6 ครั้ง หรือสลับกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น พันผ้ากดทับ ประคบเย็นร่วมด้วย
- ระยะห่างของการฉีดแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแผลคีลอยด์ และความเห็นของแพทย์ผู้รักษา
2.การผ่าตัดรักษา Keloid สามารถหายขาดได้หรือไม่
การผ่าตัดเพื่อรักษาแผลคีลอยด์ (Keloid) นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะหายขาดอย่างถาวร
แต่เป็นการลดขนาดหรือกำจัดก้อนคีลอยด์ออกไปในขณะนั้น เนื่องจากคีลอยด์มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายหลังการผ่าตัดดังนี้
- การกลับเป็นซ้ำ หลังผ่าตัดคีลอยด์ออกแล้ว มีโอกาสสูงที่คีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำบริเวณแผลผ่าตัดนั้นได้ โดยมีอัตราการกลับเป็นซ้ำประมาณ 50-100%
- การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ แพทย์มักใช้วิธีการเสริม เช่น ฉายรังสี ฉีดสเตียรอยด์
หรือติดตั้งพลาสเตอร์หรือแผ่นพิเศษกดทับหลังผ่าตัด เพื่อลดโอกาสการเกิดคีลอยด์
ขึ้นมาใหม่
3.หลังจากการรักษา Keloid หายแล้ว สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่
แม้จะได้รับการรักษาแผลคีลอยด์จนหายแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่คีลอยด์จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการกลับเป็นซ้ำดังนี้
- พันธุกรรม สำหรับบางคนที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเกิดคีลอยด์ได้ง่าย แม้รักษาจนหายก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้สูง
- การบาดเจ็บรอยแผลบริเวณเดิม หากมีการบาดเจ็บหรือเกิดแผลใหม่ที่บริเวณรอยคีลอยด์เดิม ก็เสี่ยงที่จะเกิดคีลอยด์ขึ้นมาใหม่ได้
- การรักษาที่ไม่สมบูรณ์ หากการรักษามิได้กำจัดคีลอยด์อย่างหมดจด เซลล์ที่เหลืออยู่อาจเจริญเติบโตกลายเป็นคีลอยด์ขึ้นมาใหม่ได้
- ระยะเวลาติดตามหลังรักษา หากติดตามผลหลังการรักษาไม่นาน อาจทำให้พลาดช่วงการเริ่มเป็นซ้ำได้
- ปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ การใช้ยาบางชนิด หรือการขาดการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นแม้รักษาหายแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ติดตามผลเป็นระยะอย่างน้อย 1 ปี
พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บรอยเดิม ควบคุมปัจจัยเสี่ยง
เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของคีลอยด์ให้ได้มากที่สุด